GUNKUL ตั้งเป้ารายได้ปี 59 โต 25% แตะ 5.8 พันลบ.เป้าปี 61รายได้ 7.65 พันลบ. หลังรับรู้โรงไฟฟ้า 550 MW เผยล่าสุด SCB เข้าถือหุ้นดันสัดส่วน นลท.สถาบันเพิ่มเป็น13% อาจจูงใจสถาบันรายอื่นถือเพิ่ม เผยล่าสุดผ่านคุณสมบัติโซลาร์สหกรณ์ 50 MW จากที่ยื่น 170MW หวังจับสลากคว้าได้ 30 MW

นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า ตั้งเป้ารายได้ปี2559 โต 25% หรือแตะ 5.8 พันล้านบาท เป็นผลจากรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)ในโครงการโซลาร์ฟาร์มรางเงิน จำนวน 58 เมกะวัตต์เข้ามาเต็มปี และจะมีการรับรู้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามา 2 เฟส โดยเฟสแรกจะเริ่ม COD ได้ 28 ก.พ.59 จำนวน 10 เมกะวัตต์ และเฟสที่ 2 จะ COD ได้ในเดือน ก.ค.59 จำนวน 50 เมกะวัตต์ โดยจะมีรายได้จากโครงการดังกล่าวเข้ามารวม 550 ล้านบาท และหากรับรู้เต็มปีในปี 2560 จะสร้างรายได้ปีละ 800-900 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ จะมีการรับรู้รายได้จากโครงการแก๊สเอ็นจินในประเทศเมียนมาจำนวน 25 เมกะวัตต์ ที่เลื่อน COD ไปปีหน้าแทน นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์หากได้ตามผน 30 เมกะวัตต์ ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ COD ในวันที่ 30 ก.ย.59 โดยรัฐบาลจะประกาศผล 22 ธ.ค.นี้

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศเลื่อนการฉลากโครงการดังกล่าวจากเดิม 15 ธ.ค.58 ไปเป็น 22 ธ.ค.58 ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับใบอนุญาตในการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จำนวน 30 เมกะวัตตต์ หลังโครงการที่ยื่นไปผ่านคุณสมบัติ 50 เมกะวัตต์ จากที่บริษัทฯ ยื่นไปทั้งหมด 170 เมกะวัตต์

" บริษัทฯ อยู่ระหว่างสอบถามและขอดูเอกสารว่าจำนวน 120 เมกะวัตต์ ที่ไม่ผ่านเพราะเหตุใด ซึ่งโครงการของเราไม่ได้อยู่ผังเมืองไม่น่าจะกระทบ และหากได้เพิ่มเราก็ยินดี" ดร.สมบูรณ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่กองทัพบกได้ประกาศขอถอนตัวเข้าร่วมเสนอขายไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้า โครงการโซลาร์ราชการและสหกรณ์การเกษตร บริษัทฯยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทฯ ได้ยื่นขอใบอนุญาตร่วมกับหน่วยงานสหกรณ์ชุมชน มหาวิทยาลัย ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองทัพบกแต่อย่างใด

บริษัทฯ คาดว่ารายได้ปี 2558 นี้อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 4.9 พันล้านบาท แต่คาดว่าจะทำได้ราว 4.7 พันล้านบาท แต่ยังถือว่าเติบโตได้ 50% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.3 พันล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโครงการแก๊สเอ็นจินในเมียนมาที่ COD ในปีหน้าแทน เนื่องจากต้องรอความชัดเจนเรื่องการเมืองหลังจบการเลือกตั้งในเมียนมา

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรักษาอัตรากำไรสุทธิในปีนี้ (Net Profit Margin) ให้อยู่ที่ 14% จาก 9 เดือนที่ทำได้ 13.5%

ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/58 บริษัทฯ จะมีรายได้เข้ามาราว 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จากโครงการโซลาร์ฟาร์มรางเงินจำนวน 87 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 67% หรือคิดเป็น 58 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีรายได้จากโครงการดังกล่าวราว 450 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากงานก่อสร้าง

" ปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ได้ 4.7 พันล้านบาท อาจจะหย่อนเป้าเล็กน้อยที่ตั้งไว้ 4.9 พันล้านบาท ถือว่าเติบโตได้ 50% ซึ่งในส่วนของไตรมาส 4 บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นพัฒนาโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ 11 โครงการ กำลังการผลิต 87 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯถือหุ้น 67% ซึ่งคาดว่าจะ COD ได้ทั้งหมดในปีนี้ ส่งผลทำให้มีรายได้จากการขายไฟเข้ามาราว 450 ล้านบาท และจะมีกำไร 3 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งต้นแรกได้เริ่มติดตั้งแล้วโดยจะเริ่มเห็นในปีหน้าอย่างชัดเจน" ดร.สมบูรณ์ กล่าว

นายสมบูรณ์ กล่าวถึง กรณีที่บริษัทฯ เตรียมขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP)ให้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 41.5 ล้านหุ้นว่า คาดจะได้รับเงินเข้ามาราว 1,000 ล้านบาทในวันที่ 1 ก.พ.59 ซึ่งเงินดังกล่าวบริษัทฯ จะนำไปลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนต่อไปในอนาคต หลัง SCB เข้ามาถือหุ้นจะทำให้สัดส่วนนักลงทุนสถาบันถือหุ้น GUNKUL เพิ่มเป็น 13% จาก 10% ในปัจจุบัน

" การถือหุ้นของ SCB จะเป็นการถือระยะยาว จะเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการเงินของบริษัทฯ ประกอบกับหากนักลงทุนสถาบันเข้ามาถือหุ้นมากขึ้นจะช่วยทำให้ราคาหุ้นของ GUNKUL มีเสถียรภาพมากขึ้น " นายสมบูรณ์ กล่าว

นอกจากที่ SCB เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการเงินของบริษัทฯ แล้ว ยืนยันว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีเงินเพียงพอในการขยายธุรกิจ โดยก่อนหน้านี้เพิ่งได้รับเงินจากการเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 4 พันล้านบาท และยังมีการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิเป็นหุ้นสามัญในอีก 3 ปีข้างหน้าซึ่งจะมีเงินเข้ามาอีก 2.5 พันล้านบาท พร้อมกันนี้ยังมีความสามารถในการกู้ยืนเงินจากสถาบันการเงินได้อีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน (D/E) 1.07 เท่า

นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ที่ 6.7 พันล้านบาท และ EBIT 1.9 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีการเร่งการจำหน่ายไฟฟ้าและหาใบอนุญาต (PPA) เข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งหมด 6 โครงการ จำนวน 322.3 เมกะวัตต์ โดยจะทยอยจ่ายไฟฟ้าไปจนถึงปี 61 ได้แก่ โรงไฟฟ้ารางเงิน 87 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 170 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น 2 แห่ง จำนวน 65.25 เมกะวัตต์

บริษัทฯ จึงตั้งเป้ารายได้ปี 61 อยู่ที่ 7.65 พันล้านบาท และ EBIT อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่าเท่าตัวจากปีนี้ที่คาดทำได้ 1 พันล้านบาท และตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมไม่ต่ำกว่า 550 เมกะวัตต์

ที่มา:efinancethai.com